เรื่องสยอง วัยเบญจเพส ตอนที่ 7

หลังจากที่โดนยาสลบรอบสอง เราตื่นขึ้นมาเราก็ร้องหาแต่ยาสลบค่ะ อยากจะหลับๆไปนานๆ ไม่อยากตื่น พอเราร้องหายามากๆ หมอเค้าก็เลยอนุญาติให้เรากลับบ้านได้ เพราะเราอยู่ที่ รพ. เหมือนเราเป็นคนสติไม่ดีอะคะ ไม่คุยกับใครทั้งวัน ร้องไห้ตลอดเวลา พอเราได้กลับมาบ้าน ลุงที่เป็นล่างทรงเค้าก็มาเรียกขวัญให้เรา เวลาเดินผ่านกระจกนี่ตกใจตัวเองมากๆ โทรมสุดๆ เหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน กลางคืนไม่นอนค่ะ เอาหูฟังมาใส่หู เรานอนห้องพระนะคะ คือเราอยู่ในนี้เป็นเดือนๆ ไม่ออกไปจากห้องนี้เลย แบบพอแม่เราขึ้นมาเอาข้าวให้เรา เราจะนั่งแต่ท่าชันเข่า เหมือนเด็กมีปัญหาอะค่ะ เพื่อนมาเยี่ยม เพื่อนแม่มาเยี่ยมก็บอกให้เราไปหาหมอ หมอจิตแพทย์อะค่ะ พอแม่มาบอกเรา เราเข้าใจนะคะว่าเค้าเป็นห่วงเรา เราก็บอกแม่ไปว่า แม่ก็รู้ว่าหนูไม่ได้บ้า ลุงก็บอกแม่แล้วหนิว่าหนูเจออะไรบ้าง คือเราอยู่แต่ห้องพระจริงๆ ไม่ออกเลย ไม่โดนผีหลอกก็ซวยที่สภาพจิตใจ เห็นภาพหลอนตลอด LYNBET

แต่เรามั่นใจนะคะว่าเราไม่ได้บ้าจริงๆ รู้ทุกอย่างว่าใครมาพูดอะไร เราเข้าใจที่เค้าพูดทุกอย่าง แต่ไม่มีใครเข้าใจเราไงคะ เราเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เราฝัน เราได้ยิน แต่คนอื่นไม่ได้ยิน งานก็ต้องเลื่อนไปอีกค่ะ จนเพื่อนบอกเราว่าเค้าจ้างเราออก ร่างกายทรุดเลยค่ะ ฉันจะมีเรื่องอะไรซวยกว่านี้อีกไหม เข้ามาเลย มาทีเดียวเลยนะ จะให้ตายก็จะตาย LYNBET เหมือนชีวิตไม่เหลืออะไรแล้วค่ะ มองหน้าแม่กับพ่อเราก็ร้องไห้

เราเพิ่งเรียนจบยังไม่ทันได้เลี้ยงดูท่านเลย แล้วก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยา แล้วเราฝันค่ะว่าเรามาตักบาตที่หน้าบ้านตอนเช้า มีพระรูปนึงเดินมาทางเรา เราก็ถวายของไปค่ะ ท่านก็พูดขึ้นว่า ” โยมพ้นเคราะห์นี้ไป โยมจะมีแต่สิ่งดีๆแล้วนะโยม อดทนและใช้ในสิ่งที่คนอื่นไม่มีให้มันเป็นประโยชน์ แล้วสิ่งชั่วร้ายก็จะทำอะไรเราไม่ได้ เพียงโยมเตรียมร่างกายให้พร้อมก็พอ ” พอเราตื่น เราก็มาส่องกระจกดูตัวเอง แรงก็แทบจะไม่มี กินข้าวก็ไม่ลง อดหลับอดนอนจนร่างกายเราไม่ไหว เราคิดถึงสิ่งที่ท่านบอกเราในฝัน “อดทนแล้วใช้ในสิ่งที่คนอื่นไม่มีให้มันเป็นประโยชน์” มันคืออะไร เรามีอะไรแล้วเราไม่มี เราเลยตัดสินใจว่าถ้าเราเอาเฝือกออกแล้วเราจะบวชสักพักนึงค่ะ

หลังจากที่ไม่ได้ออกจากห้องพระ มาร่วมเดือนๆ เพื่อนก็มาบอกว่าทางโรงแรมหาคนใหม่มาทำงานแทนเราแล้ว คือตอนนั้นเรายอมรับความจริงแล้วค่ะว่าต้องเกิดเรื่องแบบนี้ แม่เราก็บอกว่าอีกอาทิตเดียวไปเอาเฝือกออกแล้วค่อยหางานใหม่ก็ได้ พอถึงเวลาเอาเฝือกออก ก็ยังคงเดินลำบากนิดๆค่ะเพราะตอนใส่เฝือกเดินไม่ค่อยถนัด พอขาหายเราก็เดินสายทำบุญ 9 วัด แล้วไปเจอป้ายวัดนึงเป็นวัดป่าค่ะ วัดอยู่ลึกมากๆ ถนนก็ยังเป็นลูกรัง พอไปถึงวัดเราบอกแม่ว่าเราขอบวชวัดนี้นะ คือพอเข้าไปก็มีแม่ชีอยู่ 4 – 5 คนค่ะ

เป็นวัดไม่ใหญ่มาก รอบๆเป็นป่า เราก็ไปคุยกับแม่ชีว่าเราจะบวช คำแรกที่แม่ชีพูดกับเราคือ “อยู่ได้แน่เหรอ?” เราก็บอกได้ เค้าเลยบอกเราว่าลองถือศีลสัก 3 คืนก่อนไหม? ถ้าไหวแล้วค่อยบวช เราก็เลยบอกว่าถ้าเป็นเรื่องเน็ตหรือโทรศัพท์เราไม่ได้สนใจค่ะเพราะที่นี่คลื่นไม่มีอยู่แล้ว เราไม่เล่นก็ได้ เค้าบอกว่าไม่ใช่ เราเลยถามว่าอะไร คือเค้าก็ไม่ตอบค่ะ ก็ไปคุยกับเจ้าอาวาส จะมาถือศีล 3 คืน คุยกันเสร็จ แม่เราก็บอกว่าอยู่ได้นะ เป็นอะไรจะติดต่อแม่ยังไง เราก็บอกไม่เป็นไรเราอยู่ได้

พ่อแม่เรากลับ บ่าย 4 ได้ เราก็ไปช่วยเค้ากวาดใบไม้ เพราะที่นั่นต้นไม้เยอะมากๆ เรากวาดๆอยู่ตาเราก็เหลือบไปเห็น ผญ คนนึง อยู่หลังต้นไม้ เราก็หันไปค่ะ คือเห็นเป็นคนปกติ ยืนอยู่ เราก็จ้องค่ะ มองว่าเค้ามาหาใครหรือป่าว เค้าจ้องเรา เราก็จ้องค่ะ สักพักเค้ากวักมือเรียกเราให้ไปหาเค้า คือเราก็กำลังเดินไปนะคะ แม่ชีที่เค้ากวาดห่างจากเราไม่กี่เมตรก็บอกเราว่า “อย่าไปสนใจ กวาดต่อไปเถอะ” เราบอกเค้ามาหาใครเหรอคะ? เค้าบอกว่า อย่าไปสนใจ เห็นอะไรอย่าทัก แล้วเฉยๆเหมือนไม่เห็น และสักพักต้นไม้เขย่าค่ะ ตรงที่ ผญ คนนั้นยืนอยู่ เราก็ทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งไปหลังแม่ชี คือตกใจอะค่ะ เค้าเลยบอกเราว่า เข้าไปไหว้พระในโบสถ์ก่อนเถอะ คือโบสถ์นี้คือทุกคือคนที่จำศีลจำวัดเค้าจะมาสวดมนต์นั่งสมาธิกันที่นี่ค่ะ เราก็เข้าไปกราบ แม่ชีก็ชี้บอกค่ะ ทางนั้นเป็นกุฏิเจ้าอาวาส ทางนั้นเป็นพระกับเณร คือที่นี้เป็นไม้หมด ไม่ได้หรูหราไม้ขัดเงาอะไรอย่างนี้นะคะ

ข้างหลังไปหน่อยก็เป็นที่พักของพวกแม่ชี คือแม่ชีบอกข้างหลังที่เราพักเป็นป่าช้า เราก็ค่ะๆ เราเตรียมชุดมาค่ะเพราะบอกไว้หลังผ่าเฝือกเราจะมาบวชเลยติดชุดขาวมาด้วย เวลาหกโมงกว่าๆเริ่มเข้ามาที่โบสถ์เพื่อสวดมนต์ หน้าต่างโบสถ์เปิดไว้ค่ะเพราะไม่มีพัดลม ก็นั่งสวดสักพัก เราก็ไปเห็นแม่ชีคนนึงอยู่ตรงหน้าจ่างข้างๆเราค่ะ คือเค้าไม่ได้เข้ามานะคะ แล้วกวักมือเรียกเรา เราก็คิดว่าเค้าให้เราไปช่วยยกอะไรหรือป่าวก็เลยออกไปค่ะ

ตอนอยู่ในโบสถ์เราอยู่ท้ายสุดนะคะ พอเราออกไปก็ยังเห็นแม่ชีอยู่ค่ะกวักมือเรียกเรา เราก็ถามว่าแม่ชีคะเรียกหนูไปไหน เค้าก็ไม่ตอบ เราก็เดินตาม คือทางที่แม่ชีเดิน เดินกลับไปที่พักของเราอะค่ะ เราก็เริ่มตะหงิดๆละคือถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ พอเราจะถามครั้งสุดท้าย เค้าอยู่แต่ยังหันหลังให้เรานะคะ สักพักเค้าก็หัวเราะ ๆๆ แต่ยังไม่หันมาทางเรา เราก็รู้และว่าไม่ใช่คน ช๊อค และก็ค่อยๆถอยหลัง คอจะเตรียมวิ่งค่ะ ตอนนั้นเหงื่อแตกน้ำตาไหล จะเอายังไงดี คือเราอยู่ไกลจากโบสถ์มาก เราตัดสินใจวิ่งค่ะ เรามั่นใจว่าเค้าวิ่งตามเรา

เพราะเราได้ยินเสียงหัวเราะ ตามหลังเรามา คือเราก็กรี๊ดไปร้องไห้ไป พูดอย่าทำอะไรหนูเลย กลัวแล้ว วิ่งไม่คิดชีวิตเลยค่ะ เจอกุฏิเณรกับพระ เราไม่สนละค่ะขึ้นไปก่อน แต่ลืมคิดว่าไม่มีใครอยู่เพราะเค้าไปสวดมนต์กันหมด จะลงไปก็ไม่ได้ เผื่อป้าผีแกมารอ อยู่บนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ ระแวงไปหมด ความรู้สึกเดิมกลับมา จิตตก หวาดระแวงไปหมด ร้องไห้ตะโกนช่วยด้วยๆตลอดเผื่อใครได้ยิน

กลับสู่หน้าหลัก

Leave a Comment

Your email address will not be published.