นักวิ่งระยะไกลระดับเวิล์ดเมเจอร์
การประลองวิ่งมาราธอน lucia88 เป็นการลงแข่งขันที่ทดลองความพร้อมเพรียงของร่างกายและจิตใจเยอะพอควร การจะไปถึงเป้าหมายในถนนหนทางสายนี้ได้จำเป็นจะต้องพึ่งสาเหตุหลายประการ สำหรับคนไหนกันที่กำลังฝึกหัดหรือเตรียมสำหรับการชิงชัยอยู่ วันนี้พวกเราได้เก็บกลเม็ดที่นักวิ่งระดับนานาชาติใช้เพื่อสำหรับการปราบการวิ่งมาราธอนมาฝากกัน lucia88 ยืนยันว่าอ่านแล้วจะได้แนวทางที่ยอดเยี่ยมทั้งยังในหัวข้อการฝึกซ้อมและก็การตระเตรียมลงแข่งขันกันอย่างแน่แท้
1. ควรจะมีผู้ฝึกสอน
ในทีแรกที่ลงวิ่งด้วยระยะทาง 10 กิโล ใช้เวลา 50 นาที จัดว่าเร็วมากสำหรับนักวิ่งคนใหม่ แต่ว่ามันยังเร็วน้อยเกินไปที่กำลังจะได้รับรางวัล แล้วจำเป็นจะต้องวิ่งเร็วเยอะแค่ไหนล่ะถึงจะพอเพียง? คำตอบนี้หาได้อย่างง่ายดายเพียงเดินไปถามนักวิ่งที่ได้ถ้วยในงานนั้นเพียงแค่นั้น นั่นก็คือ 10 กม. 40 นาที ก็เลยจะได้ถ้วยมาครอบครอง พอใช้ได้คำตอบมาแล้ว ก็ไปสู่โหมดการฝึกหัด การฝึกฝนตามตารางมันก็ดีแล้ว แต่ว่ามันจะฝึกหัดได้ไม่เต็มสมรรถนะ เนื่องจากตารางการวิ่งอย่างนี้มันมิได้วางแบบมาให้เหมาะสมกับนักวิ่งทุกราย ด้วยเหตุผลดังกล่าววิธีที่เยี่ยมที่สุดเป็นการฝึกหัดกับผู้ฝึกสอน เพราะว่าผู้ฝึกสอนจะพินิจพิจารณาจุดเด่นจุดอ่อนได้ ที่ไหนข้อเสีย ที่ไหนลักษณะเด่น จะช่วยปรับปรุงในส่วนที่มีอยู่แล้วและก็เสริมเติมในสิ่งที่ขาด ผลสรุปเป็นได้เรื่องฝึกหัดที่เหมาะสมกับตนเองสูงที่สุด ช่วยทำให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพได้มากที่สุดเหมือนกัน
2. วิ่งด้วยลีลาที่ถูกสมควร
จะช่วยลดการบาดเจ็บที่อาจจะมีการเกิดขึ้นได้ อย่าลืมเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับลักษณะเท้าตนเองด้วย เนื่องจากว่ารองเท้ามีส่วนช่วยอย่างยิ่งในประเด็นการดูดซึมแรงชน ช่วยรักษาหัวเข้าได้ แม้กระนั้นดังนี้ถ้าหากเลือกได้ไม่ดีก็อาจจะเป็นผลให้มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้เหมือนกัน
3. เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย
เจ้าตัวพูดว่าผู้ฝึกสอนรู้ดีว่าสิ่งที่เขาขาดไปเป็นความแข็งแกร่ง เลยตั้งอกตั้งใจเพิ่มที่ตรงนี้ให้ด้วย กรรมวิธีฝึกฝนก็โหดเหี้ยมหินไม่น้อยเป็นวิ่งรอบหมู่บ้านกลางแจ้งร้อนๆและก็ฝึกหัดร่างกายแบบ Strength Training ทุกๆ4 วัน ผลที่เกิดเป็นร่างกายมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น การวิ่งก็เร็วขึ้นอย่างแปลกตา เนื่องจากว่าสามารถทำเวลาสำหรับเพื่อการวิ่ง 10 กม.ให้เหลือเพียง 41 นาทีเพียงเท่านั้น แทบถึงจุดหมายแล้ว
4. ความทรหดอดทนก็จะต้องมี
มีอยู่ตอนหนึ่งที่หันไปเล่นสามกีฬา ได้พบกับผู้ฝึกสอนคนใหม่ ผู้ฝึกสอนดีไซน์ตารางการฝึกหัดให้ใหม่ ทำให้จุดโฟกัสการฝึกหัดวิ่งลดลง แต่ว่าวิ่งที่ได้เป็นความทรหดอดทนของร่างกาย เพราะว่าจากการลงวิ่งในงานเมืองโตเกียวมาราธอนทั้งสิ้น 3 ครั้งทำเวลาก้าวหน้าขึ้นทุกปีอย่างยิ่งจริงๆ
5. ทรหดอดทนแต่ว่ายังเร็วน้อยเกินไป
พอเพียงเล่นตรีกีฬามาได้สัก 3 ปี เริ่มมีความรู้สึกอิ่มตัว จากข้อที่พูดถึงไปข้างบนเป็นเวลาสำหรับในการวิ่งมาราธอนนั้นดียิ่งขึ้น แม้กระนั้นจะมีอยู่ตอนหนึ่งที่วิ่งติดอยู่ในความเร็วเหมือนเดิม ฝึกหัดวิ่งอย่างไรก็ยังได้เหมือนเดิม แล้วได้พบผู้ฝึกสอนผู้ที่ 3 เจ้าตัวถามคำถามว่าเพราะอะไรถึงวิ่งให้เร็วกว่านี้มิได้ เพียงพอรีบวิ่งเร็วได้ไม่นานก็รู้สึกอยากจะอ้วกแล้ว ผู้ฝึกสอนตอบมาว่าก็เนื่องจากฝึกฝนแต่ว่าความทรหดอดทนของร่างกายมาตลอด ก็เลยวิ่งได้อึด แม้กระนั้นมิได้ฝึกหัดเรื่องความเร็ว ผลสรุปก็เลยออกมาในรูปแบบนี้นั่นเอง เมื่อทราบตัวต้นเหตุของปัญหาแล้ว วิธีการปรับปรุงก็จะตามมา ซึ่งหมายถึง การวิ่งแบบสุดแรงเกิดในช่วงเวลาสั้นๆหลายรอบ ดังเช่นว่า 400 เมตร/5รอบ จำเป็นต้องวิ่งสุดแรงทุกรอบ ห้ามกั๊กเอาไว้ด้วยเหตุว่ากลัวหมดแรงวิ่งในรอบที่ 4-5 เด็ดขาด การวิ่งอย่างนี้เว้นเสียแต่ร่างกายจะแข็งแรงแล้ว จิตใจก็จำเป็นต้องแข็งแรงไม่แพ้กัน เพราะว่าการวิ่งด้วยความเต็มแรงในช่วงนี้ซ้ำกันหลายรอบนับเป็นการฝึกหัดที่โหดเหี้ยมไม่น้อย บางทีอาจอ่อนเพลียกว่าการวิ่งปกติ 10-20 กิโลด้วยไป
6. รักษาระดับความเร็วให้ได้
เมื่อเริ่มฝึกซ้อมวิ่งเร็วแล้ว สิ่งจำเป็นเป็นรักษาระดับความเร็วนั้นเอาไว้ให้ได้ ด้วยเหตุนั้นก็เลยจำต้องฝึกซ้อมวิ่งแบบ tempo ร่างกายจะได้คุ้นชินกับความเร็วคงเดิม แล้วพอเพียงใกล้ถึงเวลาลงแข่งขันจริงค่อยมาฝึกหัดด้วยความเร็วที่คำนวณเอาไว้ แต่ใกล้ลงแข่งขันมิได้หมายคือสัก 2-3 อาทิตย์ก่อนแข่งขันนะ แต่ว่าจะต้องเป็น 3 ข้างขึ้นไป บากบั่นจัดเป็นตารางการวิ่งให้เหมาะสมกับตนเองรวมทั้งใส่แนวทางวิ่งแบบ tempo ลงไปด้วย
7. อย่ามุ่งหวังมากเกินไป
เมื่อฝึกฝนรู้เรื่องเร็วตามที่ได้มีการกำหนดแล้ว พอเพียงถึงเวลาแข่งขันจริง การคะเนหวังจะมีผลให้กำเนิดแรงกดดัน ยิ่งหวังมากมายมากแค่ไหนก็ยิ่งเครียดมากยิ่งขึ้นเพียงแค่นั้น ผลเป็นบางทีอาจวิ่งได้ไม่ดีดังที่ฝึกหัดเอาไว้ พอเพียงเป็นอย่างงั้นจะยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกท้อแท้หมดหวังและไม่ต้องการวิ่งต่อแล้ว ดังนั้นเสนอแนะให้วิ่งแบบสบายๆจะดีกว่า
8. ฝึกหัดเร็วได้แม้กระนั้นก็จำต้องวิ่งช้าให้เป็นด้วย
สำหรับในการฝึกฝนวิ่งเร็ว บางบุคคลบางทีอาจจุดโฟกัสเพียงแค่วิ่งเร็วๆเพียงอย่างเดียว โน่นไม่ใช่เรื่องที่ถูก ด้วยเหตุว่าการวิ่งเบาๆก็เป็นการวิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อการฝึกฝนเช่นกัน เพราะว่าการวิ่งเบาๆจัดเป็นการ recovery ร่างกายแบบหนึ่ง ช่วยลดกรดแลคติคในกล้าม ทุเลาลักษณะของการปวดเมื่อยล้าข้างหลังฝึกหัด ช่วยทำให้กล้ามคลายตัวแล้วยังช่วยเพิ่มระยะทางสำหรับการฝึกฝนให้อีกด้วย
9. ไม่ยึดติดกับตารางฝึกซ้อมมากจนเกินไป
เพราะเหตุว่ามันจะก่อให้รู้สึกเครียดเช่นกัน เนื่องจากว่าตารางจะบังคับให้ขาดฝึกซ้อมมิได้ บางทีอาจอ่อนเพลียและก็ท้อได้ ควรจะเปลี่ยนแปลงมาทำความเข้าใจส่วนประกอบการฝึกฝนใหม่จะดีมากยิ่งกว่า ควรจะฝึกฝนอะไรเยอะแค่ไหนบ้าง ควรจะเลียนแบบการซ้อมจริงในช่วงไหน ฝึกเพื่ออะไร มีอะไรบ้างที่ยังขาดอยู่จะได้เสริมเติมการซ้อมให้บริบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถฝึกซ้อมวิ่งได้แบบไม่เครียดแล้ว